รัฐบาลสหรัฐฯ ชี้ความเกี่ยวเนื่องระหว่างโทรศัพท์มือถือ และ โรคมะเร็ง

ถึงแม้สมาร์ทโฟนหรือหนึ่งในเครื่องมืออิเลกทรอนิกส์ที่สำคัญของยุคศตววรษที่ 21 จะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตของเรา แต่แล้วมันอาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำร้ายสุขภาพของเราได้เช่นกัน

เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการนำเสนอผลค้นคว้าจาก US National Toxicology Program ว่าได้พบความเกี่ยวเนื่องระหว่างสมาร์ทโฟน และโรคมะเร็ง โดยทางกลุ่มผู้ค้นคว้าได้โฟกัสไปยังผลกระทบที่มีต่อหนู จากคลื่นรังสีวิทยุ (Radio Frequency) ที่ใช้งานอยู่บนเครือข่ายไร้สายของสหรัฐฯ หนูที่ใช้ในการทดลองนั้นได้ถูกแยกออกเป็นกลุ่ม ๆ ไป เพื่อรับการทดสอบปริมาณรังสีที่แตกต่างกัน เมื่อตรวจดูแล้ว พบว่ามีเนื้องอกในสมองแล้วหัวใจของหนูตัวผู้บางตัว ซึ่งโอกาสที่เนื้องอกเหล่านี้จะพัฒนาไปเป็นมะเร็งนั้น ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับปริมาณรังสีที่ได้รับ ยิ่งมากเท่าไหร ความเสี่ยงยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

หนึ่งเหตุผลหลักที่สมาร์ทโฟน อาจเป็นสาเหตุการเกิดโรคมะเร็งตามที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกากล่าวไว้ก็เพราะ สมาร์ทโฟนจะแผ่กระจายคลื่นรังสีวิทยุออกมา และเมื่อเนื้อเยื่อใดก็ตามที่อยู่ใกล้เคียงนั้นสัมผัสได้ถึงคลื่นดังกล่าว ก็จะคอยดูดซับพลังงานจากคลื่นนั้นไป แต่แล้วการค้นคว้าเกี่ยวกับโรคมะเร็งและสมาร์ทโฟนนั้นก็ไร้บทสรุป เพราะไม่มีสถาบันใดสามารถออกมายืนยันได้ว่าสมาร์ทโฟนคือหนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรคนี้ได้อย่างชัดเจน

ทั้งนี้การใช้โทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานานๆ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้โดยตรงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเกิดขึ้นจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Wave) ระหว่างการรับส่งสัญญานโทรศัพท์มือถือ ที่ก่อให้เกิดความร้อน และทำร้ายเซลล์ภายในเนื้อเยื่อบริเวณหู ตา และสมอง ผู้ใช้งานอาจมีอาการ ปวดหู ปวดตา ปวดหัว ตาพร่ามัว มึนงง เป็นต้น ที่มา:http://www.cnet.com/news/us-government-study-suggests-link-between-smartphones-and-cancer/

http://www.senate.go.th/senate/question_detail.php?question_id=30

ติดตามข่าวสารจากเรา

คุณสามารถกรอก email ของคุณด้านล่างเพื่อรับข่าวสารและบทความอัพเดทใหม่ๆจากทางเรา
แจ้งเตือนทันทีที่มีบทความใหม่ เพื่อให้คุณไม่พลาดสิ่งใหม่

แชร์บทความนี้ไปให้เพื่อนๆของคุณ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

2 + 13 =

This site is protected by reCAPTCHA and the Google Privacy Policy and Terms of Service apply.

The reCAPTCHA verification period has expired. Please reload the page.