เหมือนว่ากฎของ SEO นั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงทุกๆ ชั่วโมง หากคุณมีเว็บไซต์และต้องการให้มีการค้นหาเว็บอย่างสม่ำเสมอ เนื้อหาบนเว็บคุณต้องมีข้อมูลที่สอดคล้องกับการค้นหาของผู้ใช้งาน SEO คือคำตอบสำหรับการค้นหาดังกล่าว ทั้งนี้วิธีการใช้งาน SEO ของคุณ ควรเปลี่ยนแปลงบ้างเพื่อสอดคล้องกับกฎของ Google
1. Viral content หรือบทความที่ถูกแชร์ไม่ได้ดึงดูดผู้อ่านมากเป็นพิเศษอย่างที่คุณคิด
ในแต่ละวันมีบทความนับล้านถูกเผยแพร่ แต่มีบทความเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่สามารถดึงดูดและมีเอกลักษณ์โดดเด่นในตัวของมันเอง แน่นอนอยู่แล้วว่าผู้เขียนไม่สามารถทำนายหรือเดาใจผู้อ่านได้ว่า เขา หรือเธอชื่นชอบในเนื้อหารูปแบบใด และไม่ใช่ความคิดที่ดีในการทุ่มทุนทุกอย่างที่มีลงไปกับการทำ SEO ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อเว็บไซต์
การทำ Viral content นั้นดีในลักษณะที่ต้องแชร์กันในวงกว้าง หรือสำหรับธุรกิจรูปแบบ Global เช่นแชร์บทความหรือข้อมูลจากหนึ่งประเทศไปยังอีกหนึ่งประเทศ การแชร์นำไปสู่การโฆษณาที่อาจเกิดได้หากเนื้อหาบทความของเรานั้นเข้าตาผู้พบเห็น ผลที่ตามมาก็จะส่งผลดีให้แก่เจ้าของธุรกิจ แต่สำหรับธุรกิจรูปแบบ Brick-and-Mortar (ธุรกิจที่มีหน้าร้านและมีสถานที่ตั้ง) เน้นผู้พบเห็นในประเทศและพื้นที่เป็นหลักนั้น การทำ SEO ถือเป็นการสิ้นเปลืองที่ไร้ความจำเป็น
2. ใช้งาน SEO ไม่ถูกต้องตามหลักอาจกระทบความสำเร็จของธุรกิจ
สำหรับ SEO แล้วก็มี Black Hat SEO และ White Hat SEO ซึ่งการทำ Black Hat SEO คือการทำ SEO โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่ไม่เป็นไปตามแนวปฏิบัติเพื่อให้ได้ประโยชน์ทาง SEO โดยไม่สนใจถึงความเหมาะสม ตรงข้ามกับการทำ White Hat SEO ทุกประการ ถึงแม้ Black Hat SEO จะได้ผลเร็ว ติดอันดับการค้นหาก็ตาม แต่ก็มักจะได้ผลแค่ในระยะเวลาสั้น ๆ ทั้งนี้ก็เพราะ Google จะทำการตรวจสอบและบล็อก SEO เหล่านี้ทันทีเมื่อพบเจอ ดังนั้น สิ่งที่คุณควรทำคือ สร้างบทความที่มีประสิทธิภาพ ทำการลิ้งก์เว็บไซต์ไปยังลิ้งก์ที่เกี่ยวข้องและมีประสิทธิภาพเท่านั้น ที่สำคัญต้องใส่ใจการสร้างเว็บที่สามารถใช้งานได้กับเครื่องมืออิเลกทรอนิกส์ทุกรูปแบบ
3. Content ซ้ำส่งผลกระทบต่ออันดับ SEO
ถึงแม้จะมีการใช้ สร้างหรือบันทึกบทความซ้ำ(duplicate) หากคุณใช้ Canonical Tag บนหน้าเว็บของคุณในการ republish อีกครั้งก็ไม่ต้องกังวล อันดับการแสดงบทความของคุณใน Google จะไม่อยู่ในระดับที่แย่มากนัก ทั้งนี้ หากพบเจอว่ามีการใช้ สร้าง หรือบันทึกบทความซ้ำกับคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต คุณในฐานะผู้เขียนควร Report เว็บไซต์ดังกล่าว เพื่อแจ้งให้เขาลบออก
4. Incoming Links บางครั้งก็ไม่ใช่การทำ SEO ที่ดีเสมอไป
Incoming links หรือลิ้งก์เว็บไซต์ที่เชื่อมโยงเข้ามายังไซต์เรา ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีในการกระตุ้นอันดับ SEO เพราะเราเชื่อว่ายิ่งมีเยอะก็ยิ่งดีต่อเว็บไซต์ แต่บางครั้งลิ้งก์ที่เราใช้มาเชื่อมโยงนั้นกลับมี Authority Issue ที่มาพร้อมกับคำถามและเว็บไซต์ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจเราพ่วงติดมาด้วย ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับอันดับ SEO ของคุณ ยิ่งยุ่งยากมากแค่ไหน ก็ยิ่งไม่น่าใช้งานมากเท่านั้น
5. ทุกอย่างบนเว็บไซต์ต้องมีความเกี่ยวเนื่องกัน
ตามหลักการใช้ SEO แล้ว ข้อความหรือ Code ทุกอย่างที่อยู่บนเว็บไซต์ไม่ว่าจะเป็น Image descriptions, HTML tags, title หรือ subheaders จะต้องมีความเกี่ยวเนื่องกับประเด็นหลักของเว็บไซต์คุณ หรืออย่างน้อยประเด็นหลักบนหน้าเพจดังกล่าว
6. คุณสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญ SEO ได้ด้วยตนเอง
ความลับของการทำ SEO คือ Automation ข้อมูลเกี่ยวกับ Web Traffic และ ข้อมูลผู้ใช้งานนั้นสามารถเข้าถึงได้โดยใช้ Data Processing Software หรือระบบประมวลผล ซึ่งเหมาะสมสำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ ง่ายต่อความเข้าใจมาก สามารถศึกษาการใช้งาน Tool นี้ได้โดยที่ไม่ต้องไปจ้างให้คนนอกมาจัดการระบบ SEO ของคุณ
7. รูปแบบ Mobile Friendly
การค้นหาบทความหรือข้อมูล ณ ปัจจุบัน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการค้นหาผ่านทางโทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต ดังนั้นเว็บไซต์ของคุณก็ควรออกแบบให้อยู่ในรูปแบบ Responsive (Mobile-friendly) ทั้งนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ทางด้านธุรกิจ พูดง่ายๆเลยว่าแม้คุณจะให้ความสำคัญกับการทำ SEO มากเพียงใด แต่หากคุณมองข้ามรูปแบบ Responsive นี้ไป ผู้ใช้งานก็จะไม่สามารถเข้าถึงและ ระดับ SEO ก็ไม่มีความสำคัญขึ้นมาทันที
ที่มา: https://www.entrepreneur.com/article/273495
